ไม่ไผ่ เป็นไม้ที่ขึ้นง่ายและเติบโตเร็ว ขึ้นได้ดีในทุกสภาวะอากาศดำรงอยู่ได้ในพื้นดินทุกชนิด ที่สำคัญคือ ไผ่เป็นพันธุ์ไม้ที่อำนวยประโยชน์หลายประการ ทั้งประโยชน์ทางตรงและทางอ้อม และเป็นพืชที่ลำต้นกิ่งมีลักษณะแปลกสวยงาม ไผ่เป็นไม้ที่ตายยาก ถ้าไผ่ออกดอกเมื่อใดจึงจะตาย แต่ก็ยากมากและนานมากที่ไผ่จะออกดอก ไม้ไผ่มีประโยชน์มากกับคนเราคนเราสามารถนำไม้ไผ่มาสร้างบ้านที่อยู่อาศัย และทำเครื่องจักสานอื่นๆอีกมากมายสำหรับไม่ไผ่นั้นใช้ได้ทุกส่วนตั้งแต่ หน่อ ลำต้น ใบ ราก เยื่อไผ่ ขุยไผ่ มีประโยชน์ใช้สอยในชีวิตประจำวัน ในปัจจุบันเราสามารถนำไม้ไผ่มาจักรสานทำเป็นอาชีพหารายได้ให้แก่ครอบครัว และยังเป็นงานที่เราส่งออกไปขายอยู่นอกประเทศสำหรับคนไทยเราแล้ว งานที่ใช้ฝีมือถือว่าเป็นงานที่ประณีตระเอียดและสวยงามมาก
ไม้ไผ่ลำเล็กๆที่คนไทยรู้จักเป็นอย่างดีนั้น ประโยชน์ใช้สอยมากมายมหาศาลอย่างที่คนหลายคนคาดไม่ถึง ซึ่งเมื่อแบ่งออกเป็นหมวดหมู่และแยกออกเป็นประเภทๆแล้ว มนุษย์เราสามารถใช้ไม้ไผ่มาทำเป็นประโยชน์ได้ดังนี้
1.ด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติ
-ป้องกันการพังทลายของดินตามริมฝั่ง
-ช่วยเป็นแนวป้องกันลมพายุ
-ชะลอความเร็วของกระแสนำป่าเมื่อฤดูนำหลากกันภาวะน้ำท่วมฉับพลัน
-ให้ความร่มรื่น
-ใช้ประดับสวน จัดแต่งเป็นมุมพักผ่อนหยอนใจในบ้านเรือน
2.ประโยชน์จากลักษณะทางฟิสิกส์
จากความแข็งแรง ความเหนียว การยืดหด ความโค้งงอและการสปริงตัว ซึ่งเป็นคุณลักษณะประจำตัวของไม้ผ่ เราสามารถนำมันมาใช้เป็นวัสดุเสริมในงานคอนกรีต และเป็นส่วนต่างๆ ของการสร้างที่อยู่อาศัยแบบประหยัดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
3.ประโยชน์จากลักษณะทางเคมีของไม้ไผ่
-เนื้อไม้ใช้บดเป็นเยื่อกระดาษ
-เส้นใยใช้ทำไหมเทียม
-เนื้อไผ่บางชนิดสามารถสกัดทำยารักษาโรคได้
-ใช้ในงานอุตสาหกรรมนานาชนิด
4.การใช้ไม้ไผ่ในผลิตภัณฑ์หัตถกรรมและอุตสาหกรรม แบ่งออกได้ดังนี้
-ผลิตภัณฑ์เครื่องจักสานจากเส้นตอก ได้แก่ กระจาด กระบุง กระด้ง กระเช้าผลไม้ ตะกร้าจ่ายตลาด ชะลอม ตะกร้าใส่ขยะ กระเป๋าถือสตรี เข่งใส่ขยะ
-เครืองมือจับสัตว์น้ำ เช่น ข้องใส่ปลา ลอบ ไซ ฯลฯ
-ผลิตภัณฑ์จากลำต้นและกิ่งของไม้ไผ่ ได้แก่ เก้าอี้ โต๊ะ ชั้นวางหนังสือ ทำด้ามไม้กวาด ท่อส่งน้ำ รางน้ำ
-ผลิตภัณฑ์จากเนื้อไม้ไผ่ ได้แก่ ถาดใส่ขนม ทัพพีไม้ ตะเกียบ กรอบรูป ไม้ก้านธูป ไม้พาย เครื่องดนตรี ไม้บรรทัด
-ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากไผ่ซีก ได้แก่ โครงโคมกระดาษ โครงพัด โครงร่ม ลูกระนาด พื้นม้านั่ง สุ่มปลา สุ่มไก่ เป็นต้น
วิธีการปลูกเเละการดูเเลรักษา
การปลูก
ไผ่หวานปลูกได้กับดินทุกชนิด แต่ถ้าเป็นดินร่วนปนทรายจะเหมาะที่สุด ไม่ม้ำขัง ไม่แฉะ แต่ต้องมีน้ำรดตลอดปี จึงจะมีผลผลิตนอกฤดูกาล จะได้ราคาดี การปลูกแบบยกร่องจะช่วยในการระบายน้ำได้ดีกว่าปลูกในพื้นราบ ระยะปลูกประมาณ 2x3 เมตรดังนั้น 1 ไร่จะปลูกได้ประมาณ 250 - 260 กอ
การให้น้ำ
การให้น้ำ ถ้าเป็นฤดูฝน ก็สบาย ๆ ไม่ต้องเดือดร้อน เพราะเทวดาช่วยอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นฤดูแล้ง ควรให้น้ำวันเว้นวัน โดยใช้สปริงเกอร์รดให้ทั่วบริเวณ ย้ำว่าทั่วบริเวณ ไม่ใช่เฉพาะโคนต้นนะครับ ทั้งนี้เพราะรากของไผ่จะเจริญเติบโตทั่วบริเวณ
การดูแลรักษา
ไผ่เป็นพืชที่ดูแลง่าย ในช่วงแรก ต้องคอยกำจัดวัชพืช หลังจาก 1 ปี จะไม่มีวัชพืชขึ้น เนื่องจากใบของไผ่จะบังแสงแดดไม่ให้ส่องถึงพื้น อีกทั้งใบไผ่จะช่วยคลุมดินดีนักแล ในเดือนที่ 5 - 6 ควรมีลำต้นไว้ไม่เกิน 5 ลำ หมายถึงจะขายหน่อนะครับ ถ้าจะขายลำก็อีกเรื่องหนึ่ง ดินดี ปุ๋ยดี ประมาณ 6 เดือน ก็เก็บผลผลิตได้
ประโยชน์ของไม้ไผ่
ประโยชน์ของไม้ไผ่ไม้ไผ่ลำเล็กๆที่คนไทยรู้จักเป็นอย่างดีนั้น ประโยชน์ใช้สอยมากมายมหาศาลอย่างที่คนหลายคนคาดไม่ถึง ซึ่งเมื่อแบ่งออกเป็นหมวดหมู่และแยกออกเป็นประเภทๆแล้ว มนุษย์เราสามารถใช้ไม้ไผ่มาทำเป็นประโยชน์ได้ดังนี้
1.ด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติ
-ป้องกันการพังทลายของดินตามริมฝั่ง
-ช่วยเป็นแนวป้องกันลมพายุ
-ชะลอความเร็วของกระแสนำป่าเมื่อฤดูนำหลากกันภาวะน้ำท่วมฉับพลัน
-ให้ความร่มรื่น
-ใช้ประดับสวน จัดแต่งเป็นมุมพักผ่อนหยอนใจในบ้านเรือน
2.ประโยชน์จากลักษณะทางฟิสิกส์
จากความแข็งแรง ความเหนียว การยืดหด ความโค้งงอและการสปริงตัว ซึ่งเป็นคุณลักษณะประจำตัวของไม้ผ่ เราสามารถนำมันมาใช้เป็นวัสดุเสริมในงานคอนกรีต และเป็นส่วนต่างๆ ของการสร้างที่อยู่อาศัยแบบประหยัดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
3.ประโยชน์จากลักษณะทางเคมีของไม้ไผ่
-เนื้อไม้ใช้บดเป็นเยื่อกระดาษ
-เส้นใยใช้ทำไหมเทียม
-เนื้อไผ่บางชนิดสามารถสกัดทำยารักษาโรคได้
-ใช้ในงานอุตสาหกรรมนานาชนิด
4.การใช้ไม้ไผ่ในผลิตภัณฑ์หัตถกรรมและอุตสาหกรรม แบ่งออกได้ดังนี้
-ผลิตภัณฑ์เครื่องจักสานจากเส้นตอก ได้แก่ กระจาด กระบุง กระด้ง กระเช้าผลไม้ ตะกร้าจ่ายตลาด ชะลอม ตะกร้าใส่ขยะ กระเป๋าถือสตรี เข่งใส่ขยะ
-เครืองมือจับสัตว์น้ำ เช่น ข้องใส่ปลา ลอบ ไซ ฯลฯ
-ผลิตภัณฑ์จากลำต้นและกิ่งของไม้ไผ่ ได้แก่ เก้าอี้ โต๊ะ ชั้นวางหนังสือ ทำด้ามไม้กวาด ท่อส่งน้ำ รางน้ำ
-ผลิตภัณฑ์จากเนื้อไม้ไผ่ ได้แก่ ถาดใส่ขนม ทัพพีไม้ ตะเกียบ กรอบรูป ไม้ก้านธูป ไม้พาย เครื่องดนตรี ไม้บรรทัด
-ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากไผ่ซีก ได้แก่ โครงโคมกระดาษ โครงพัด โครงร่ม ลูกระนาด พื้นม้านั่ง สุ่มปลา สุ่มไก่ เป็นต้น
|
|
ไผ่ที่ปลูกกันในประเทศไทยมีหลายชนิด วันนี้เราลองมาจัดประเภทไผ่กันอย่างคร่าวๆดู จะทำให้เกษตรกรที่หันมาปลูกไผ่ได้มีข้อมูลในการตัดสินใจปลูกกัน ว่าควรจะปลูกไผ่ชนิดไหนกัน ปลูกเพื่ออะไร ปลูกแล้วจะได้ประโยชน์อะไรกับไผ่
ไผ่ที่นิยมปลูกกันแบ่งได้ดังนี้คือ ไผ่ที่ปลูกเพื่อใช้ลำของไม้ไผ่และไผ่ที่ปลูกเพื่อการบริโภคหน่อโดยมีรายละเอียดดังนี้
1. ไผ่ที่นิยมปลูกเพื่อใช้ลำ การปลูกไผ่เพื่อใช้ลำ เกษตรกรต้องการคือปลูกไว้กันลม รอบๆที่ ไม่ได้หวังหน่อ ไม้ไผ่ที่เลือกใช้ควรจะลู่ลมไม่ต้านลม สังเกตุไผ่ที่ลู่ลมคือจะต้องไม่มีกิ่งแขนงยาวเกินไปและไม่มีกิ่งแขนงมากนัก แต่ก็ยังสามารถตัดไม้ไผ่มาขายหรือใช้สอยในสวนได้ แต่ก็มีเกษตรกรอีกกลุ่มหนึ่งที่ปลูกเป็นสวนเพื่อต้องการขายไม้ไผ่ เกษตรกรกลุ่มนี้คือมีที่ดินเหลือจากการปลูกพืชชนิดอื่นๆ หรือมีที่ดินมาก ปลูกพืชอื่นก็ต้องดูแลมาก
1.1ไผ่รวกดำ เป็นไผ่ที่ปลูกเพื่อใฃ้ลำกัน โดยส่วนใหญ่จะปลูกกันอยู่ทางเหนือของไทยมากที่สุด หน่อรัปประทานได้ แต่ต้องต้มให้หายขมก่อน พบมากที่ จ.น่าน จ.พะเยา จ.เชียงราย มีพ่อค้าจากทางตะวันออกและภาคกลางมาซื้ออยู่ที่ลำละ 10-13 บาทนำไปปักหอยเพราะทนต่อสภาพน้ำเค็มได้ดี เนื้อไม้แข็งแรงมาก แต่ไผ่รวกดำก็สามารถปลูกได้ที่พื้นที่ของประเทศไทย ถ้าเกษตรกรมีปลูกพืชอื่นๆอยู่และต้องการปลูกไผ่เป็นไม้บังลมรอบๆที่ดิน ก็สามารถใช้ไผ่รวกดำได้ ถ้าปลูกรอบๆที่ดินใช้ระยะปลูกอยู่ที่ระยะระหว่างต้น 2 เมตรปลูกแถวเดียวครับ ไผรวกดำเป็นไผ่ลู่ลำเพราะกิ่งแขนงและใบน้อย ไม่ต้านลำ เมื่อปลูกแล้วจะไม่โค่นเมื่อมีลำมาปะทะ การออกหน่อของไผ่รวกดำจะออกมากในฤดูฝนตกชุก
แต่เกษตรกรที่ต้องการปลูกไผ่รวกดำทั้งแปลงจะใช้ระยะอยู่ที่ ระยะระหว่างต้น 2.5 เมตร ระยะระหว่างแถว 4 เมตร พื้นที่ 1 ไร่จะใช้ต้นพันธุ์ 180 ต้น การปลูกจะตัดไม้ใช้สอยหรือขายได้ในปีที่ 4 หลังจากปลูก ต่อไปตัดได้ทุกๆปี โดยเลือกตัดไม้แก่ที่เกิดก่อนออกไปครับ ไผ่รวกนิยมขยายพันธุ์โดยการขุดแยกเหง้าครับ
1.2กลุ่มไผ่เลี้ยง มีไผ่เลี้ยงใหญ่ ไผ่เลี้ยงทางเหนือ ไผ่เลี้ยงสีทอง ไผ่เลี้ยงสีทอง(บางที่เรียกไผ่เลี้ยงหวาน,ไผ่เลี้ยง 3 ฤดู ,ไผ่หวาน,ไผ่เลี้ยงทะวาย) เป็นไผ่เลี้ยงที่มีลำต้นสูงไม่เกิน 5 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางไม้ 1.5-2 นิ้ว ลำต้นไม่มีรูกลางลำ ส่วนไผ่เลี้ยงใหญ่และไผ่เลี้ยงทางเหนือความสูงของกอ 12 เมตรขึ้นไป เส้นผ่าศูนย์กลางลำ 2-2.5 นิ้วการปลูกไผ่เลี้ยง ถ้าเป็นเป็นไม้กันลมทำได้ดีมาก เพราะใบและกิ่งเป็นแบบลู่ลม ไม่ต้านลม การปลูกหากปลูกแถวเดี่ยวจะใช้ระยะระหว่างต้น 2 เมตรถึง 2.5 เมตร แต่ถ้าจะปลูกเป็นแปลงใหญ่ให้ใช้ระยะปลูกระหว่างต้น 2.5 เมตร ระยะระหว่างแถว 4 เมตร ใช้ต้นพันธุ์ไร่ละ 180 ต้น เริ่มเก็บหน่อไว้ทำอาหารหรือขายได้ในปีที่ 2 หลังจากปลูก อาหารที่นิยมใช้ไผ่เลี้ยงทำ คือต้มทำซุปหน่อไม้ หรือทำหน่อไม้ในถุงพลาสติกเก็บไว้ขายนอกฤดู เป็นต้น ส่วนลำ จะเริ่มตัดขายได้เมื่อปลูกได้ 4 ปีไปแล้ว โดยจะตัดลำที่แก่ก่อน ถ้าเป็นไผ่เลี้ยงใหญ่และไผ่เลี้ยงทางเหนือจะขายลำละ 10-13 บาท แต่ถ้าเป็นไผ่เลี้ยงสีทอง(ลำสั้นกว่า) จะขายได้ลำละ 1-3 บาท จะเห็นว่าเกษตรกรปลูกไผ่เป็นแนวรั้วแค่เป็นไม้ใช้สอยก็สามารถมีรายได้จากการขายหน่อและลำได้ ถ้าเกษตรกรมีพื้นที่ทำกินเช่น 20 ไร่ถ้าปลูกไผ่รอบรั้วก็ได้หลายร้อยกอแล้ว ตัดไม้กอละ 10 ลำต่อกอต่อปี รวมๆแล้วก็ได้ไม้มากพอที่จะเป็นรายได้ส่วนหนึ่งครับ ไผ่เลี้ยงทุกชนิด ขยายพันธุ์ได้ดีคือการขุดเหง้าและรองลงมาคือการตอนกิ่งแขนงข้าง
ไผ่เลี้ยงใหญ่
ไผ่เลี้ยงสีทองหรือไผ่เลี้ยงหวาน
1.3 ไผ่ซาง เป็นไผ่ที่นิยมปลูกกันมาก และพบมากในป่าทางภาคเหนือของประเทศไทย มีเส้นผ่าศูนย์กลางลำ 3-8 นิ้ว ลำสูง 15-25 เมตร หน่อรับประทานได้ดี ถ้าหน่อใต้ดินจะมีรสหวาน แต่ถ้าถูกอากาศหรือเก็บไว้ข้ามวันจะมีรสขมมาก นิยมนำไปต้มแล้วจิ้มน้ำพริก หรือทำยำหน่อไม้ ส่วนลำใช้ประโยชน์ได้มากมาย ทำไม้ค้างก่อสร้าง ทำตะเกียบ ไม้เสียบอาหาร ทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ไผ่ตั้งแต่ชิ้นเล็กจนชิ้นใหญ่ ส่งออกไปต่างประเทศมากมาย ทำบ้านไม้ไผ่ เศษซากจากการแปรรูป ข้อไม้นำไปเผาถ่านหรือทำชีวมวลให้โรงไฟฟ้า และทำกระดาษ เป็นต้น นับว่าอุตสาหกรรมจากไม้ไผ่ที่เกิดขึ้นจะใช้ไผ่ซางมากที่สุด พบมีโรงงานแบบใช้แรงงานในครัวเรือนทำตะเกียบและไม้เสียบอาหารมากที่สุดที่ จ.แพร่ จ.ลำปาง จ.อุตรดิตถ์ จ.พะเยา และจ.น่าน ไผ่ซางนิยมขยายพันธุ์โดยการตอนกิ่งแขนงข้าง
-ไผ่ซางนวล D. membranaceus เป็นไผ่ที่พบอยู่ตามป่า หรือเรียกว่าซางป่า ใบจะมีขนาดเล็กเหมือนไผ่เลี้ยงไผ่รวก ในป่าพบว่ามีการตายขุยและได้ต้นที่งอกใหม่จากเมล็ด มีความแปรปรวนหลายลักษณะอยู่ในป่า ชาวบ้านที่ไปตัดจากป่ามาใช้งานก็จะเลือกตัดเอาแต่ต้นที่ใช้ได้ลำตรง ลำสวย กอที่ให้ลำไม่ดี ลำเล็ก ลำไม่ตรงก็จะไม่ได้ตัด เนื้อไม้จะไม่หนามากนัก จะต้องปลูกเป็นกลุ่มถึงจะตรง จะปลูกเป็นไม้ริมรั้วไม่ได้เพราะถ้าปลูกเดี่ยวๆจะไม่ตรง ต้องอยู่กับไม้อื่นๆถึงจะตรง หากเกษตรกรจะต้องการปลูกไผ่ซางนวลจะต้องคัดเลือกสายพันธุ์ที่ดีที่สุดจากป่ามาก่อนแล้วค่อยขยายพันธุ์เพิ่มปริมาณโดยการตอน ไม่นิยมนำเมล็ดมาปลูกโดยตรงเพราะจะกลายพันธุ์มาก หากเกษตรกรจะต้องการปลูกไผ่ซางนวบควรใช้ระยะที่ 4 เมตรคูณ 4 เมตร พื้นที่ 1 ไร่จะได้ไผ่ 100 กอ
-ไผ่ซางดำหรือไผ่ซางหวาน D.strictus เป็นไผ่ที่ถูกคัดเลือกโดยธรรมชาติที่ให้ลักษณะที่ดีแล้ว ใบใหญ่พอๆกับไผ่กิมซุ่ง ต่างจากไผ่ซางป่ามาก ลำสีเขียวเข้ม ขนาดลำจะใหญ่กว่าไผ่ซางนวล ลำตรงเปลา เนื้อไม้หนากว่าซางนวล ปลูกกอเดี่ยวๆยังสามารถให้ลำที่ตรงไม้โค้ง สามารถปลูกเป็นไม้กันลมหรือไม้ริมรั้วได้ดี เพราะไม่ต้านลม ถ้าปลูกเป็นไม้ริมรั้วควรปลูกเป็นแถวเดี่ยว ใช้ระยะระหว่างต้น 3-4 เมตรไปตามแนวรั้ว และควรห่างจากรั้ว 3-4 เมตรเพื่อจะได้ไม่ไปรบกวนเพื่อนบ้าน แต่ถ้าปลูกเป็นแปลงใหญ่จะใช้ระยะระหว่างต้น 5 เมตร ระยะระหว่างแถว 5 เมตร พื้นที่ 1 ไร่จะปลูกได้ 64 กอ(ต้น) หน่อของไผ่ซางดำจะให้รสชาติที่ดีกว่าไผ่ซางทุกชนิด นิยมนำมาแกงสดๆเป็นแกงพื้นเมืองหรือแกงเปอะ ตัดหน่อได้เมื่อปลูกได้ 1 ปีขึ้นไป ส่วนการตัดลำไม้จะตัดได้เมื่อปลูกได้ 4 ปีขึ้นไป ไม้ที่โคนจะหนา กว่ากลางลำ ปรกติจะซื้อขายลำที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 4 นิ้วขึ้นไปโดยตัดส่วนโคนลำ 2 เมตรขายให้กับโรงงานเฟอรืนิเจอร์ ท่อนละ 120 บาท ส่วนกลางลำตัดขายได้ ตันละ 800 บาทให้โรงงานทำตะเกียบ ส่วนปลายลำ ขายให้โรงงานไม้เสียบอาหาร ต้นละ 1,000 บาท และเศษซางที่เหลือขายให้โรงงานทำเยื่อกระดาษ ตันละ 500 บาท ส่วนใบนำไปทำปุ๋ยดินขุ๋ยไผ่ การขยายพันธุ์ไผ่ซางดำจะใช้วิธีการตอนกิ่งแขนงข้าง
-ไผ่ซางหม่น D. sericeus ในปัจจุบันเกษตรกรยังสบสนระหว่างไผ่ซางหม่นกับซางนวล ไผ่ซางหม่นใบจะใหญ่พอๆกับไผ่ซางดำ หรือใบไผ่กิมซุ่ง แต่ใบไผ่ซางนวลจะใบเล็กกว่ามาก ใบไผ่ซางนวลจะเท่าๆกับใบของไผ่รวก และลำก็ต่างไผ่ซางหม่นลำจะมีแป้งมาก ไผ่ซางนวลแป้งจะน้อยกว่า ไผ่ซางหม่นพบที่ป่าทางภาคเหนือของไทยมากที่สุด ในเขตน่าน -แพร่-อุตรดิตถ์ จะพบเป็นไผ่ซางหม่นอีกชนิดหนึ่ง ลำมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 4-6 นิ้ว แต่ลำจะสูงมาก และมีผู้ขายพันธุ์ตั้งชื่อการค้าหลายชื่อทำให้เกษตรกรสับสน ชื่อการค้าที่พบคือ ไผ่ซางนวลราชีนี ไผ่ซาง 3 สายพันธุ์ ไผ่ซางหม่นแพร่ สอบถามผู้ที่ทำพันธุ์ไผ่ซางหม่นในจ.อุตรดิตถ์เป็นรายแรกๆ คุณประดับ บอกว่านำสายพันธุ์มาจาก บ้านห้วยม้า ต.ห้วยม้า จ.แพร่ ไผ่ซางหม่นลำละตรงเปลาแม้ว่าจะปลูกกอเดี่ยวๆ เช่นเดียวกับไผ่ซางดำ เนื้อไม้ไผ่ซางหม่นหนาที่โคนมาก และทั้งลำยังหนากว่าไผ่ซางทุกสายพันธุ์ เป็นที่ต้องการของผู้ที่จะนำไปแปรรูปไม้ไผ่มาก เช่นทำบ้านไม้ไผ่และเฟอร์นิเจอร์ ไผ่ซางหม่นสายพันธุ์นี้สามรถปลูกเป็นไม้กันลมได้ดี เพราะกิ่งและใบไม่ต้านลม ควรปลูกที่ระยะระหว่างต้นที่ 3-4 เมตร ถ้าปลูกเป็นแปลงใหญ่ควรใช้ระยะ ระหว่างต้น 5 เมตร ระยะระหว่างแถว 6 เมตร จะได้ไม้ยาวและลำใหญ่ นอกจากนี้ยังมีไผ่ซางหม่นสายพันธุ์จาก อำเภอเชียงดาว พบว่าเป็นต่างสายพันธุ์จากของแพร่ มีผู้ตั้งชื่อการค้าว่า พันธุ์สูงเสียดฟ้า หรือเรียกไผ่ซางหม่นยักษ์ ไผ่ซางหม่นสายพันธุ์จากเชียงดาวพบโดยคุณลุงสมจิตร เป็นไผ่ซางหม่นที่ใบใหญ่เช่นเดียวกัน แต่ลำมีเส้นผ่าศูนกลาง 4-8 นิ้วจะใหญ่กว่าทางซางหม่นสายพันธุ์แพร่ เนื้อไม้หนามาก มีความแข็ง ทนทาน ข้อถี่กว่าซางหม่นของแพร่ เกษตรกรควรใช้ระยะระหว่างต้นที่ 6 เมตร ระยะระหว่างแถวที่ 6 เมตร จะทำให้ได้ลำที่ใหญ่ ถ้าต้องการลำเล็กกว่านี้ก็ปลูกถึ่ขึ้นได้ ลำของไผ่ซางหม่นแยกขายเช่นเดียวกับไผ่ซางดำ มีรายได้รวมต่อลำได้ไม่ต่ำกว่าลำละ 200 บาทเพราะมีน้ำหนักดี เป็นที่ต้องการของผู้ที่แปรรูปไม้ไผ่เช่นกัน การขยายพันธุ์ไผ่ซางหม่นนิยมใช้การตอนกิ่งแขนงข้างดีที่สุด รองลงมาคือชำลำแบบแนวนอน ไม่ว่าเกษตรกรจะปลูกตามแนวรั้วหรือปลูกเป็นแปลงใหญ่ สามารถเก็บหน่อได้หลังจากปลูกไปได้ 1 ปี และจะตัดขายลำได้เมื่อปลูกไปได้ 4 ปี และจะตัดไม้ได้ตลอดทุกๆปี
การปลูกไผ่เพื่อขายลำ จะเหมาะกับเกษตรกรที่มีที่ดินมากๆ และมีรายได้จากทางอื่น ไม่เดือดร้อนที่จะต้องรีบเก็บเกียวเพื่อจะให้ได้เงินไวๆ สามารถปลูกได้หมดทั้งที่ดิน เพราะการดูแลง่ายไม่ต้องไปห่วงตัดหน่อ และไม่ต้องห่วงว่าจะได้รายได้เร็ว การปลูกไผ่เพื่อขายไม้นี้จะต้องปลูกจนไผ่มีอายุได้ 4-5 ปีจึงจะตัดไม้ได้ทุกปีโดยเลือกตัดลำที่แก่กว่า รายได้จากการขายไม้ไผ่โดยที่ไม่ได้แปรรูป ถ้าเลื่อกปลูกไผ่ซางหม่นหรือไผ่ซางหวานจะมีรายได้จากการขายลำไม้ไร่ละไม่ต่ำกว่า 500 ลำ ๆละ 100 บาท จะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 50,000 บาทต่อไร่ต่อปี แต่ถ้ามีทุนนำไม้ที่ปลูกมาทำบ้านไม้ไผ่ขายออกแบบดีๆ ป้องกันมอดได้ดี รายได้จากใช้ประโยขน์จากไม้ไผ่จะมากขึ้น
ไผ่ที่นิยมปลูกกันแบ่งได้ดังนี้คือ ไผ่ที่ปลูกเพื่อใช้ลำของไม้ไผ่และไผ่ที่ปลูกเพื่อการบริโภคหน่อโดยมีรายละเอียดดังนี้
1. ไผ่ที่นิยมปลูกเพื่อใช้ลำ การปลูกไผ่เพื่อใช้ลำ เกษตรกรต้องการคือปลูกไว้กันลม รอบๆที่ ไม่ได้หวังหน่อ ไม้ไผ่ที่เลือกใช้ควรจะลู่ลมไม่ต้านลม สังเกตุไผ่ที่ลู่ลมคือจะต้องไม่มีกิ่งแขนงยาวเกินไปและไม่มีกิ่งแขนงมากนัก แต่ก็ยังสามารถตัดไม้ไผ่มาขายหรือใช้สอยในสวนได้ แต่ก็มีเกษตรกรอีกกลุ่มหนึ่งที่ปลูกเป็นสวนเพื่อต้องการขายไม้ไผ่ เกษตรกรกลุ่มนี้คือมีที่ดินเหลือจากการปลูกพืชชนิดอื่นๆ หรือมีที่ดินมาก ปลูกพืชอื่นก็ต้องดูแลมาก
1.1ไผ่รวกดำ เป็นไผ่ที่ปลูกเพื่อใฃ้ลำกัน โดยส่วนใหญ่จะปลูกกันอยู่ทางเหนือของไทยมากที่สุด หน่อรัปประทานได้ แต่ต้องต้มให้หายขมก่อน พบมากที่ จ.น่าน จ.พะเยา จ.เชียงราย มีพ่อค้าจากทางตะวันออกและภาคกลางมาซื้ออยู่ที่ลำละ 10-13 บาทนำไปปักหอยเพราะทนต่อสภาพน้ำเค็มได้ดี เนื้อไม้แข็งแรงมาก แต่ไผ่รวกดำก็สามารถปลูกได้ที่พื้นที่ของประเทศไทย ถ้าเกษตรกรมีปลูกพืชอื่นๆอยู่และต้องการปลูกไผ่เป็นไม้บังลมรอบๆที่ดิน ก็สามารถใช้ไผ่รวกดำได้ ถ้าปลูกรอบๆที่ดินใช้ระยะปลูกอยู่ที่ระยะระหว่างต้น 2 เมตรปลูกแถวเดียวครับ ไผรวกดำเป็นไผ่ลู่ลำเพราะกิ่งแขนงและใบน้อย ไม่ต้านลำ เมื่อปลูกแล้วจะไม่โค่นเมื่อมีลำมาปะทะ การออกหน่อของไผ่รวกดำจะออกมากในฤดูฝนตกชุก
แต่เกษตรกรที่ต้องการปลูกไผ่รวกดำทั้งแปลงจะใช้ระยะอยู่ที่ ระยะระหว่างต้น 2.5 เมตร ระยะระหว่างแถว 4 เมตร พื้นที่ 1 ไร่จะใช้ต้นพันธุ์ 180 ต้น การปลูกจะตัดไม้ใช้สอยหรือขายได้ในปีที่ 4 หลังจากปลูก ต่อไปตัดได้ทุกๆปี โดยเลือกตัดไม้แก่ที่เกิดก่อนออกไปครับ ไผ่รวกนิยมขยายพันธุ์โดยการขุดแยกเหง้าครับ
1.2กลุ่มไผ่เลี้ยง มีไผ่เลี้ยงใหญ่ ไผ่เลี้ยงทางเหนือ ไผ่เลี้ยงสีทอง ไผ่เลี้ยงสีทอง(บางที่เรียกไผ่เลี้ยงหวาน,ไผ่เลี้ยง 3 ฤดู ,ไผ่หวาน,ไผ่เลี้ยงทะวาย) เป็นไผ่เลี้ยงที่มีลำต้นสูงไม่เกิน 5 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางไม้ 1.5-2 นิ้ว ลำต้นไม่มีรูกลางลำ ส่วนไผ่เลี้ยงใหญ่และไผ่เลี้ยงทางเหนือความสูงของกอ 12 เมตรขึ้นไป เส้นผ่าศูนย์กลางลำ 2-2.5 นิ้วการปลูกไผ่เลี้ยง ถ้าเป็นเป็นไม้กันลมทำได้ดีมาก เพราะใบและกิ่งเป็นแบบลู่ลม ไม่ต้านลม การปลูกหากปลูกแถวเดี่ยวจะใช้ระยะระหว่างต้น 2 เมตรถึง 2.5 เมตร แต่ถ้าจะปลูกเป็นแปลงใหญ่ให้ใช้ระยะปลูกระหว่างต้น 2.5 เมตร ระยะระหว่างแถว 4 เมตร ใช้ต้นพันธุ์ไร่ละ 180 ต้น เริ่มเก็บหน่อไว้ทำอาหารหรือขายได้ในปีที่ 2 หลังจากปลูก อาหารที่นิยมใช้ไผ่เลี้ยงทำ คือต้มทำซุปหน่อไม้ หรือทำหน่อไม้ในถุงพลาสติกเก็บไว้ขายนอกฤดู เป็นต้น ส่วนลำ จะเริ่มตัดขายได้เมื่อปลูกได้ 4 ปีไปแล้ว โดยจะตัดลำที่แก่ก่อน ถ้าเป็นไผ่เลี้ยงใหญ่และไผ่เลี้ยงทางเหนือจะขายลำละ 10-13 บาท แต่ถ้าเป็นไผ่เลี้ยงสีทอง(ลำสั้นกว่า) จะขายได้ลำละ 1-3 บาท จะเห็นว่าเกษตรกรปลูกไผ่เป็นแนวรั้วแค่เป็นไม้ใช้สอยก็สามารถมีรายได้จากการขายหน่อและลำได้ ถ้าเกษตรกรมีพื้นที่ทำกินเช่น 20 ไร่ถ้าปลูกไผ่รอบรั้วก็ได้หลายร้อยกอแล้ว ตัดไม้กอละ 10 ลำต่อกอต่อปี รวมๆแล้วก็ได้ไม้มากพอที่จะเป็นรายได้ส่วนหนึ่งครับ ไผ่เลี้ยงทุกชนิด ขยายพันธุ์ได้ดีคือการขุดเหง้าและรองลงมาคือการตอนกิ่งแขนงข้าง
ไผ่เลี้ยงใหญ่
ไผ่เลี้ยงสีทองหรือไผ่เลี้ยงหวาน
1.3 ไผ่ซาง เป็นไผ่ที่นิยมปลูกกันมาก และพบมากในป่าทางภาคเหนือของประเทศไทย มีเส้นผ่าศูนย์กลางลำ 3-8 นิ้ว ลำสูง 15-25 เมตร หน่อรับประทานได้ดี ถ้าหน่อใต้ดินจะมีรสหวาน แต่ถ้าถูกอากาศหรือเก็บไว้ข้ามวันจะมีรสขมมาก นิยมนำไปต้มแล้วจิ้มน้ำพริก หรือทำยำหน่อไม้ ส่วนลำใช้ประโยชน์ได้มากมาย ทำไม้ค้างก่อสร้าง ทำตะเกียบ ไม้เสียบอาหาร ทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ไผ่ตั้งแต่ชิ้นเล็กจนชิ้นใหญ่ ส่งออกไปต่างประเทศมากมาย ทำบ้านไม้ไผ่ เศษซากจากการแปรรูป ข้อไม้นำไปเผาถ่านหรือทำชีวมวลให้โรงไฟฟ้า และทำกระดาษ เป็นต้น นับว่าอุตสาหกรรมจากไม้ไผ่ที่เกิดขึ้นจะใช้ไผ่ซางมากที่สุด พบมีโรงงานแบบใช้แรงงานในครัวเรือนทำตะเกียบและไม้เสียบอาหารมากที่สุดที่ จ.แพร่ จ.ลำปาง จ.อุตรดิตถ์ จ.พะเยา และจ.น่าน ไผ่ซางนิยมขยายพันธุ์โดยการตอนกิ่งแขนงข้าง
-ไผ่ซางนวล D. membranaceus เป็นไผ่ที่พบอยู่ตามป่า หรือเรียกว่าซางป่า ใบจะมีขนาดเล็กเหมือนไผ่เลี้ยงไผ่รวก ในป่าพบว่ามีการตายขุยและได้ต้นที่งอกใหม่จากเมล็ด มีความแปรปรวนหลายลักษณะอยู่ในป่า ชาวบ้านที่ไปตัดจากป่ามาใช้งานก็จะเลือกตัดเอาแต่ต้นที่ใช้ได้ลำตรง ลำสวย กอที่ให้ลำไม่ดี ลำเล็ก ลำไม่ตรงก็จะไม่ได้ตัด เนื้อไม้จะไม่หนามากนัก จะต้องปลูกเป็นกลุ่มถึงจะตรง จะปลูกเป็นไม้ริมรั้วไม่ได้เพราะถ้าปลูกเดี่ยวๆจะไม่ตรง ต้องอยู่กับไม้อื่นๆถึงจะตรง หากเกษตรกรจะต้องการปลูกไผ่ซางนวลจะต้องคัดเลือกสายพันธุ์ที่ดีที่สุดจากป่ามาก่อนแล้วค่อยขยายพันธุ์เพิ่มปริมาณโดยการตอน ไม่นิยมนำเมล็ดมาปลูกโดยตรงเพราะจะกลายพันธุ์มาก หากเกษตรกรจะต้องการปลูกไผ่ซางนวบควรใช้ระยะที่ 4 เมตรคูณ 4 เมตร พื้นที่ 1 ไร่จะได้ไผ่ 100 กอ
-ไผ่ซางดำหรือไผ่ซางหวาน D.strictus เป็นไผ่ที่ถูกคัดเลือกโดยธรรมชาติที่ให้ลักษณะที่ดีแล้ว ใบใหญ่พอๆกับไผ่กิมซุ่ง ต่างจากไผ่ซางป่ามาก ลำสีเขียวเข้ม ขนาดลำจะใหญ่กว่าไผ่ซางนวล ลำตรงเปลา เนื้อไม้หนากว่าซางนวล ปลูกกอเดี่ยวๆยังสามารถให้ลำที่ตรงไม้โค้ง สามารถปลูกเป็นไม้กันลมหรือไม้ริมรั้วได้ดี เพราะไม่ต้านลม ถ้าปลูกเป็นไม้ริมรั้วควรปลูกเป็นแถวเดี่ยว ใช้ระยะระหว่างต้น 3-4 เมตรไปตามแนวรั้ว และควรห่างจากรั้ว 3-4 เมตรเพื่อจะได้ไม่ไปรบกวนเพื่อนบ้าน แต่ถ้าปลูกเป็นแปลงใหญ่จะใช้ระยะระหว่างต้น 5 เมตร ระยะระหว่างแถว 5 เมตร พื้นที่ 1 ไร่จะปลูกได้ 64 กอ(ต้น) หน่อของไผ่ซางดำจะให้รสชาติที่ดีกว่าไผ่ซางทุกชนิด นิยมนำมาแกงสดๆเป็นแกงพื้นเมืองหรือแกงเปอะ ตัดหน่อได้เมื่อปลูกได้ 1 ปีขึ้นไป ส่วนการตัดลำไม้จะตัดได้เมื่อปลูกได้ 4 ปีขึ้นไป ไม้ที่โคนจะหนา กว่ากลางลำ ปรกติจะซื้อขายลำที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 4 นิ้วขึ้นไปโดยตัดส่วนโคนลำ 2 เมตรขายให้กับโรงงานเฟอรืนิเจอร์ ท่อนละ 120 บาท ส่วนกลางลำตัดขายได้ ตันละ 800 บาทให้โรงงานทำตะเกียบ ส่วนปลายลำ ขายให้โรงงานไม้เสียบอาหาร ต้นละ 1,000 บาท และเศษซางที่เหลือขายให้โรงงานทำเยื่อกระดาษ ตันละ 500 บาท ส่วนใบนำไปทำปุ๋ยดินขุ๋ยไผ่ การขยายพันธุ์ไผ่ซางดำจะใช้วิธีการตอนกิ่งแขนงข้าง
-ไผ่ซางหม่น D. sericeus ในปัจจุบันเกษตรกรยังสบสนระหว่างไผ่ซางหม่นกับซางนวล ไผ่ซางหม่นใบจะใหญ่พอๆกับไผ่ซางดำ หรือใบไผ่กิมซุ่ง แต่ใบไผ่ซางนวลจะใบเล็กกว่ามาก ใบไผ่ซางนวลจะเท่าๆกับใบของไผ่รวก และลำก็ต่างไผ่ซางหม่นลำจะมีแป้งมาก ไผ่ซางนวลแป้งจะน้อยกว่า ไผ่ซางหม่นพบที่ป่าทางภาคเหนือของไทยมากที่สุด ในเขตน่าน -แพร่-อุตรดิตถ์ จะพบเป็นไผ่ซางหม่นอีกชนิดหนึ่ง ลำมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 4-6 นิ้ว แต่ลำจะสูงมาก และมีผู้ขายพันธุ์ตั้งชื่อการค้าหลายชื่อทำให้เกษตรกรสับสน ชื่อการค้าที่พบคือ ไผ่ซางนวลราชีนี ไผ่ซาง 3 สายพันธุ์ ไผ่ซางหม่นแพร่ สอบถามผู้ที่ทำพันธุ์ไผ่ซางหม่นในจ.อุตรดิตถ์เป็นรายแรกๆ คุณประดับ บอกว่านำสายพันธุ์มาจาก บ้านห้วยม้า ต.ห้วยม้า จ.แพร่ ไผ่ซางหม่นลำละตรงเปลาแม้ว่าจะปลูกกอเดี่ยวๆ เช่นเดียวกับไผ่ซางดำ เนื้อไม้ไผ่ซางหม่นหนาที่โคนมาก และทั้งลำยังหนากว่าไผ่ซางทุกสายพันธุ์ เป็นที่ต้องการของผู้ที่จะนำไปแปรรูปไม้ไผ่มาก เช่นทำบ้านไม้ไผ่และเฟอร์นิเจอร์ ไผ่ซางหม่นสายพันธุ์นี้สามรถปลูกเป็นไม้กันลมได้ดี เพราะกิ่งและใบไม่ต้านลม ควรปลูกที่ระยะระหว่างต้นที่ 3-4 เมตร ถ้าปลูกเป็นแปลงใหญ่ควรใช้ระยะ ระหว่างต้น 5 เมตร ระยะระหว่างแถว 6 เมตร จะได้ไม้ยาวและลำใหญ่ นอกจากนี้ยังมีไผ่ซางหม่นสายพันธุ์จาก อำเภอเชียงดาว พบว่าเป็นต่างสายพันธุ์จากของแพร่ มีผู้ตั้งชื่อการค้าว่า พันธุ์สูงเสียดฟ้า หรือเรียกไผ่ซางหม่นยักษ์ ไผ่ซางหม่นสายพันธุ์จากเชียงดาวพบโดยคุณลุงสมจิตร เป็นไผ่ซางหม่นที่ใบใหญ่เช่นเดียวกัน แต่ลำมีเส้นผ่าศูนกลาง 4-8 นิ้วจะใหญ่กว่าทางซางหม่นสายพันธุ์แพร่ เนื้อไม้หนามาก มีความแข็ง ทนทาน ข้อถี่กว่าซางหม่นของแพร่ เกษตรกรควรใช้ระยะระหว่างต้นที่ 6 เมตร ระยะระหว่างแถวที่ 6 เมตร จะทำให้ได้ลำที่ใหญ่ ถ้าต้องการลำเล็กกว่านี้ก็ปลูกถึ่ขึ้นได้ ลำของไผ่ซางหม่นแยกขายเช่นเดียวกับไผ่ซางดำ มีรายได้รวมต่อลำได้ไม่ต่ำกว่าลำละ 200 บาทเพราะมีน้ำหนักดี เป็นที่ต้องการของผู้ที่แปรรูปไม้ไผ่เช่นกัน การขยายพันธุ์ไผ่ซางหม่นนิยมใช้การตอนกิ่งแขนงข้างดีที่สุด รองลงมาคือชำลำแบบแนวนอน ไม่ว่าเกษตรกรจะปลูกตามแนวรั้วหรือปลูกเป็นแปลงใหญ่ สามารถเก็บหน่อได้หลังจากปลูกไปได้ 1 ปี และจะตัดขายลำได้เมื่อปลูกไปได้ 4 ปี และจะตัดไม้ได้ตลอดทุกๆปี
การปลูกไผ่เพื่อขายลำ จะเหมาะกับเกษตรกรที่มีที่ดินมากๆ และมีรายได้จากทางอื่น ไม่เดือดร้อนที่จะต้องรีบเก็บเกียวเพื่อจะให้ได้เงินไวๆ สามารถปลูกได้หมดทั้งที่ดิน เพราะการดูแลง่ายไม่ต้องไปห่วงตัดหน่อ และไม่ต้องห่วงว่าจะได้รายได้เร็ว การปลูกไผ่เพื่อขายไม้นี้จะต้องปลูกจนไผ่มีอายุได้ 4-5 ปีจึงจะตัดไม้ได้ทุกปีโดยเลือกตัดลำที่แก่กว่า รายได้จากการขายไม้ไผ่โดยที่ไม่ได้แปรรูป ถ้าเลื่อกปลูกไผ่ซางหม่นหรือไผ่ซางหวานจะมีรายได้จากการขายลำไม้ไร่ละไม่ต่ำกว่า 500 ลำ ๆละ 100 บาท จะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 50,000 บาทต่อไร่ต่อปี แต่ถ้ามีทุนนำไม้ที่ปลูกมาทำบ้านไม้ไผ่ขายออกแบบดีๆ ป้องกันมอดได้ดี รายได้จากใช้ประโยขน์จากไม้ไผ่จะมากขึ้น
ความสำคัญ
ไผ่เป็นพืชที่จัดอยู่ในวงศ์เดียวกับหญ้าทั่วๆไป คือวงศ์ Poaceae (Gramineae) โดยอยู่ในเผ่า (Tribe) Bambuseae แต่นักพฤกษศาสตร์บางท่านก็จัดให้ไผ่อยู่ในวงศ์ Bambusaceae ด้วยเหตุผลที่ว่า มีลักษณะบางอย่างแตกต่างออกไปจากหญ้าทั่วๆไป เช่น มีเนื้อไม้ มีก้านใบเด่นชัด ส่วนใหญ่แล้วส่วนต่างๆของดอกมีจำนวนเท่ากับสาม เป็นต้น (เต็ม และ ชุมศรี, 2512)
ไผ่จัดเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่งเป็นพืชเอนกประสงค์ที่สามารถพบได้ในส่วนต่างๆ ของโลกบริเวณเขตร้อนและเขตกึ่งร้อน มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่พบในเขตหนาว ไผ่ที่พบในเขตต่างๆ ของโลกมีประมาณ 1,200 ชนิด (species) จากจำนวน 70 สกุล (genera) (Zhou, 2000) ซึ่งประเทศไทยอยู่ในเขต tropical จัดได้ว่าเป็นศูนย์กลางของความหลากหลายของไผ่ (center of diversity of bamboos) แห่งหนึ่งของโลก (Dransfield and Widjaja, 1995) ด้วยเหตุนี้น่าจะทำให้ประเทศไทยเราได้เปรียบประเทศอื่นในการที่จะนำไผ่มาใช้ประโยชน์ทั้งในด้านการเกษตรและอุตสาหกรรมเพื่อการพัฒนาประเทศได้
ไผ่เป็นพืชที่นำมาใช้ประโยชน์อย่างมากมาย จำแนกได้ดังนี้ (สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม, 2529)ไผ่เป็นพืชที่จัดอยู่ในวงศ์เดียวกับหญ้าทั่วๆไป คือวงศ์ Poaceae (Gramineae) โดยอยู่ในเผ่า (Tribe) Bambuseae แต่นักพฤกษศาสตร์บางท่านก็จัดให้ไผ่อยู่ในวงศ์ Bambusaceae ด้วยเหตุผลที่ว่า มีลักษณะบางอย่างแตกต่างออกไปจากหญ้าทั่วๆไป เช่น มีเนื้อไม้ มีก้านใบเด่นชัด ส่วนใหญ่แล้วส่วนต่างๆของดอกมีจำนวนเท่ากับสาม เป็นต้น (เต็ม และ ชุมศรี, 2512)
ไผ่จัดเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่งเป็นพืชเอนกประสงค์ที่สามารถพบได้ในส่วนต่างๆ ของโลกบริเวณเขตร้อนและเขตกึ่งร้อน มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่พบในเขตหนาว ไผ่ที่พบในเขตต่างๆ ของโลกมีประมาณ 1,200 ชนิด (species) จากจำนวน 70 สกุล (genera) (Zhou, 2000) ซึ่งประเทศไทยอยู่ในเขต tropical จัดได้ว่าเป็นศูนย์กลางของความหลากหลายของไผ่ (center of diversity of bamboos) แห่งหนึ่งของโลก (Dransfield and Widjaja, 1995) ด้วยเหตุนี้น่าจะทำให้ประเทศไทยเราได้เปรียบประเทศอื่นในการที่จะนำไผ่มาใช้ประโยชน์ทั้งในด้านการเกษตรและอุตสาหกรรมเพื่อการพัฒนาประเทศได้
- ช่วยในการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ป้องกันการพังทลายของหน้าดินตามริมฝั่งแม่น้ำ เป็นแนวกันลมพายุ ชะลอความเร็วกระแสน้ำอันเกิดจากน้ำท่วม ให้ความร่มรื่น ใช้ประดับสวน สถานที่พักผ่อนหย่อนใจต่างๆ
- ประโยชน์ของไม้ไผ่จากลักษณะทางฟิสิกส์ จากความแข็งแรง ความเหนียว การยืดหด ความ
สามารถดัดโค้ง การคืนตัวสปริงตัวได้ดี ใช้แทนเชือกมัดสิ่งของ ใช้เสริมคอนกรีตเป็นส่วนต่างๆ ของอาคารบ้านเรือนแบบประหยัด - ประโยชน์จากลักษณะทางเคมี เนื้อไม้บดทำเป็นเยื่อกระดาษ เส้นใยใช้ทำไหมเทียม สกัดสารเคมีทำยารักษาโรคหลายชนิด ใช้ในอุตสาหกรรมนานาชนิด
- ผลิตภัณฑ์หัตถกรรมและอุตสาหกรรม ในอดีตการใช้ประโยชน์จากไผ่ยังขาดการแนะนำส่งเสริมโดยนักวิชาการสู่ชาวบ้านหรือเกษตรกรทำให้การใช้ประโยชน์จากไผ่นั้นไม่เกิดประโยชน์สูงสุดและทำให้ทรัพยากรไผ่ ซึ่งส่วนใหญ่นำออกมาจากป่านั้นเสื่อมโทรมลงทุกวัน เช่น การเก็บเกี่ยวผลผลิตลำไผ่สดที่ได้ประมาณตันเศษๆต่อไร่ ในขณะที่เกณฑ์ทั่วไปควรจะได้ถึง 3 ตันต่อไร่ (อนันต์, 2532) การใช้ประโยชน์จากหน่อ จัดได้ว่าไผ่ตงเป็นไผ่ที่ได้รับความนิยมสูงสุด นอกจากนี้ยังมีไผ่รวก ไผ่บง ไผ่หวานเมืองเลย ไผ่หมาจู๋ ไผ่ลุ่ยจู๋ ฯลฯ ก็ได้รับความนิยมบริโภคหน่อเช่นกัน กรมป่าไม้ได้จัดแบ่งไผ่ตงไว้ 5 พันธุ์ คือ ไผ่ตงหม้อหรือตงใหญ่ ไผ่ตงดำหรือตงจีนหรือตงกลาง ไผ่ตงเขียว ไผ่ตงหมู และไผ่ตงลาย นอกจากนี้ไผ่ตงจากไต้หวันอีก 2 ชนิด คือไผ่หมาจู๋ (Dendocalamus latiflorus) และไผ่ลุ่ยจู๋(Bambusa oldhamii) นิยมบริโภคหน่อสดและนำมาแปรรูปเนื่องจากมีลักษณะเด่นคือ รสชาติหวานกรอบ เนื้อละเอียด สามารถต้มได้ทั้งเปลือก นำมาแปรรูปเป็นหน่อไม้แห้งได้ดีเพราะเวลาต้มจะไม่เปื่อยยุ่ยง่ายและไม่เหม็นหืนเหมือนหน่อไม้แห้งที่ทำจากไผ่ตงในบ้านเรา ข้อได้เปรียบอีกประการคือไผ่ตงไต้หวันไม่มีขนบริเวณข้อปล้องหรือกาบหุ้มหน่อ ไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง ชนิดของไผ่ที่รู้จักการนำมาใช้ประโยชน์อยู่หลักๆในประเทศไทยนั้นมีอยู่ประมาณ 10 ชนิดเท่านั้น ได้แก่ ไผ่ตง ไผ่รวก ไผ่นวล ไผ่สีสุก ไผ่ป่า ไผ่เลี้ยง ไผ่รวกดำ ไผ่ซาง ไผ่ข้าวหลาม และไผ่ไร่ (Pattanavibool, 2000) ในอนาคตหากเรายังคงบริโภคไผ่ในลักษณะนี้อาจทำให้ไผ่บางชนิดโดยเฉพาะชนิดที่นิยมใช้ประโยชน์กันมากอาจสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทยได้ นอกจากนี้การตัดลำและหน่อโดยปราศจากการจัดการและการอนุรักษ์ที่ดีพอ ประกอบกับการแพร่พันธุ์ตามธรรมชาติมีข้อจำกัดอยู่มาก ทั้งจากสภาพแวดล้อม เช่น ภัยธรรมชาติ สัตว์ป่า หรือการบุกรุกทำลายป่าโดยมนุษย์ รวมทั้งสภาพสรีระของไผ่ที่ออกดอกไม่แน่นอน ติดเมล็ดน้อย อัตราการงอกไม่แน่นอน เช่นไผ่ตง (ปรานอมและคณะ,2541) ทำให้ป่าไผ่ธรรมชาติเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว ไผ่บางชนิดอาจสูญพันธุ์ไปได้ถ้าไม่มีการรวบรวมพันธุ์ และจำแนกพันธุ์ที่ชัดเจน ถูกต้อง
การขยายพันธุ์ไผ่สามารถทำได้ทั้งแบบการใช้เพศ ไม่ใช้เพศ รวมถึงการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช การขยายพันธุ์แบบการใช้เพศ (sexual propagation) ได้แก่การเพาะเมล็ด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของไผ่ บางชนิดติดเมล็ดน้อย บางชนิดติดเมล็ดมาก และขึ้นอยู่กับอัตราการงอกของไผ่แต่ละชนิดด้วย การขยายพันธุ์แบบไม่ใช้เพศ (vegetative propagation) เป็นวิธีหลักที่นิยมใช้กันทั่วไปได้แก่ วิธีการแยกกอ แต่ต้องระมัดระวังไม่ทำให้กอแม่เกิดบาดแผล การขยายพันธุ์วิธีนี้ได้ปริมาณต้นพันธุ์น้อยและไม่สะดวกในการขนส่งเพื่อนำไปปลูก นอกจากนี้ยังสามารถขยายพันธุ์ได้โดย การตัดชำลำ ตัดชำแขนง เป็นต้น มีผู้ศึกษาการขยายพันธุ์แบบตัดชำลำและแขนงของไผ่พันธุ์หมาจู๋ แต่ผลที่ได้ยังมีเปอร์เซ็นต์ต่ำมากประมาณ 1.33 – 10.7 % (กลุ่มเกษตรสัญจร,2531 และสมปอง,ไม่ปรากฏปีที่พิมพ์)
การจัดการปลูกสร้างสวนไผ่ที่ประสบความสำเร็จต้องเริ่มตั้งแต่ การเลือกพื้นที่ปลูก การคัดเลือกพันธุ์ที่เหมาะสมต่อสภาพพื้นที่ สภาพอากาศ การได้ต้นพันธุ์ที่มีคุณภาพจากวิธีการขยายพันธุ์ที่ถูกต้อง การเตรียมหลุมปลูก ฤดูกาลปลูก วิธีการปลูกและระยะปลูกที่ถูกต้อง การปฏิบัติดูแลรักษา การตัดแต่งไว้ลำ จำนวนลำต่อกอตามอายุไผ่ การขุดหน่อที่ถูกวิธี การคลุมโคนเพื่อผลิตหน่อที่มีคุณภาพ เป็นต้น ทั้งนี้การศึกษาต้นทุนการผลิต ผลตอบแทนในแต่ละปีเป็นสิ่งจำเป็นในการศึกษาวิจัย เพื่อเป็นคำตอบให้แก่เกษตรกรและกลุ่มบุคคลเป้าหมายผู้ปลูกไผ่ในอนาคต วิธีการปลูกเเละการดูเเลรักษา
การปลูก
ไผ่หวานปลูกได้กับดินทุกชนิด แต่ถ้าเป็นดินร่วนปนทรายจะเหมาะที่สุด ไม่ม้ำขัง ไม่แฉะ แต่ต้องมีน้ำรดตลอดปี จึงจะมีผลผลิตนอกฤดูกาล จะได้ราคาดี การปลูกแบบยกร่องจะช่วยในการระบายน้ำได้ดีกว่าปลูกในพื้นราบ ระยะปลูกประมาณ 2x3 เมตรดังนั้น 1 ไร่จะปลูกได้ประมาณ 250 - 260 กอ
การให้น้ำ
การให้น้ำ ถ้าเป็นฤดูฝน ก็สบาย ๆ ไม่ต้องเดือดร้อน เพราะเทวดาช่วยอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นฤดูแล้ง ควรให้น้ำวันเว้นวัน โดยใช้สปริงเกอร์รดให้ทั่วบริเวณ ย้ำว่าทั่วบริเวณ ไม่ใช่เฉพาะโคนต้นนะครับ ทั้งนี้เพราะรากของไผ่จะเจริญเติบโตทั่วบริเวณ
การดูแลรักษา
ไผ่เป็นพืชที่ดูแลง่าย ในช่วงแรก ต้องคอยกำจัดวัชพืช หลังจาก 1 ปี จะไม่มีวัชพืชขึ้น เนื่องจากใบของไผ่จะบังแสงแดดไม่ให้ส่องถึงพื้น อีกทั้งใบไผ่จะช่วยคลุมดินดีนักแล ในเดือนที่ 5 - 6 ควรมีลำต้นไว้ไม่เกิน 5 ลำ หมายถึงจะขายหน่อนะครับ ถ้าจะขายลำก็อีกเรื่องหนึ่ง ดินดี ปุ๋ยดี ประมาณ 6 เดือน ก็เก็บผลผลิตได้